ต้อหิน (Glaucoma) เป็นแล้วรีบรักษา ก่อนสูญเสียการมองเห็น
ต้อหิน ภัยต่อดวงตา ไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า หากไม่รีบเข้ารับการรักษาอาจส่งผลขั้นร้ายแรงจนสูญเสียการมองเห็น หรือตาบอดได้ ควรรู้ปัจจัยเสี่ยงและสังเกตอาการ
ต้อหิน โรคเกี่ยวกับดวงตาที่เกิดขึ้นกับทุกเพศทุกวัย แต่พบได้บ่อยในผู้สูงอายุ แรกเริ่มอาจไม่มีสัญญาณเตือน และอาจสูญเสียการมองเห็นโดยไม่รู้ตัวได้ ฉะนั้นวันนี้ลองมาศึกษากันว่าจริง ๆ แล้วต้อหินคืออะไรต้อหิน สาเหตุ เกิดจากอะไร หรือเราจะมีวิธีป้องกันไม่ให้เป็นต้อหินได้หรือไม่ และถ้าเป็นแล้วจะมีแนวทางการรักษาอย่างไรบ้าง ตามมาอ่านพร้อม ๆ กันได้เลย
ต้อหินคืออะไร
ต้อหิน (Glaucoma) กลุ่มอาการทางดวงตาที่เกิดจากความผิดปกติของการไหลเวียนของน้ำหล่อเลี้ยงลูกตา (Aqueous Humor) ที่ไม่สามารถไหลออกจากลูกตาผ่านช่องด้านหน้าของลูกตา (Anterior Chamber) ได้ตามปกติ จึงเกิดการคั่งของของเหลว และเกิดความดันภายในลูกตาสูงเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนเกิดการกดทับขั้วประสาทตา ทำลายประสาทตา ส่งผลเสียต่อการมองเห็นได้ในที่สุด
อาการแบบไหนเรียกว่าต้อหิน
ต้อหินมักไม่มีสัญญาณเตือนมาก่อนเหมือนโรคต้อทั่วไป เช่น ต้อกระจก ต้อลม ซึ่งอาการต้อหินของแต่ละคนก็จะมีความรุนแรงของโรคไม่เท่ากัน โดยเราสามารถแบ่งเป็นต้อหินชนิดต่างๆ ดังนี้
1.ต้อหินชนิดปฐมภูมิ
อาการของโรคต้อหินที่พบได้บ่อยที่สุดคือต้อหินชนิดปฐมภูมิ (Primary Glaucoma) ที่มีสาเหตุหลักมาจากลักษณะของลูกตาและพันธุกรรม ซึ่งสามารถแบ่งแยกย่อยได้อีก 2 ประเภท คือ
-ต้อหินชนิดมุมเปิด
ต้อหินชนิดมุมเปิด (Open Angle Glaucoma) รูปแบบของต้อหินที่พบได้บ่อยมากที่สุด เกิดจากการไหลเวียนของของเหลวในลูกตาผิดปกติ ส่งผลให้ความดันในลูกตาสูงขึ้น มักไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า แต่ผู้ป่วยจะค่อย ๆ มีลานสายตาที่แคบลงโดยไม่รู้สึกว่าตามัว จนเมื่อตัวโรคเป็นมากแล้วผู้ป่วยจึงเริ่มรู้สึกว่าตามัวลง
-ต้อหินชนิดมุมปิด
ต้อหินมุมปิด (Angle-Closure Glaucoma) มักเป็นอาการต้อหินแบบเฉียบพลัน ที่อยู่ดี ๆ ความดันภายในลูกตาสูงขึ้นผิดปกติ และทำให้ตาที่เคยมองเห็นชัดเจนกลับขุ่นมัวอย่างรวดเร็ว โดยผู้ป่วยจะรู้สึกตาพร่ามัว มองเห็นแสงรุ้งรอบไฟ มองเห็นภาพซ้อน ตาแดง หรือมีอาการอื่น ๆ ทางร่างกายร่วมด้วย เช่น ปวดศีรษะรุนแรง ปวดดวงตารุนแรง คลื่นไส้ อาเจียน ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการรักษาโดยเร็วที่สุด
ขณะเดียวกันในผู้ป่วยต้อหินบางรายก็มีอาการต้อหินมุมปิด ชนิดเรื้อรัง ที่ความดันในลูกตาจะค่อย ๆ ขึ้นอย่างช้า ๆ ทำให้ภาพตรงหน้ามัว หรือเบลอเป็นครั้งคราว รวมถึงอาจมีอาการปวดตา ปวดศีรษะ ร่วมด้วยหรือไม่มีก็ได้ แต่โดยรวมแล้วผู้ป่วยจะไม่ทันได้สังเกตตัวเองว่ากำลังเผชิญกับโรคต้อหินอยู่ จึงมักจะปล่อยไว้ไม่เข้ารับการรักษา เพราะอาจคิดว่าเป็นอาการทั่วไปตามสภาพร่างกายที่ถดถอยเมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น
2.ต้อหินทุติยภูมิ
ต้อหินทุตยิภูมิ (Secondary Glaucoma) จะเป็นอาการของ ต้อหินสาเหตุ ต่างจากต้อหินชนิดปฐมภูมิ คือ เกิดจากปัจจัยภายนอก หรือสาเหตุอื่นๆ ที่ทำให้การไหลเวียนของเหลวในลูกตาผิดปกติไป เช่น ผู้ป่วยโรคต้อกระจกที่เป็นมากจนต้อสุก ผู้ที่เคยได้รับอุบัติเหตุกระทบดวงตารุนแรง ผู้ป่วยที่ใช้ยาสเตียรอยด์เป็นระยะเวลานาน ๆ ผู้ป่วยโรคเบาหวานที่มีภาวะเบาหวานขึ้นจอตา รวมถึงผู้ที่เคยผ่านการผ่าตัดดวงตามาก่อนและเกิดผลข้างเคียงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้จนเกิดเป็นโรคต้อหิน และสูญเสียการมองเห็นในที่สุด
3.ต้อหินแต่กำเนิด
สำหรับอาการต้อหินแต่กำเนิด (Congenital Glaucoma) จะปรากฏในเด็กตั้งแต่เด็กแรกคลอดจนถึงอายุ 3 ขวบ ซึ่งเป็นต้อหินที่มีสาเหตุมาจากการถ่ายทอดทางพันธุกรรม โดยสามารถสังเกตอาการของลูกน้อยได้ว่าดวงตาของน้อง ๆ หนู ๆ จะมีน้ำตาไหลอยู่ตลอด กระพริบตาบ่อย ไม่ค่อยลืมตา เนื่องจากไม่สามารถสู้แสงจ้าได้เท่าที่ควร หรือลักษณะดวงตาอาจมีความกลมโต ลูกตาดำใหญ่ สังเกตดี ๆ อาจเห็นลักษณะกระจกตาดำมีความขาวขุ่นร่วมด้วย
ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดต้อหิน
ความดันลูกตาปกติจะอยู่ในช่วง 5-21 มิลลิเมตรปรอท ความดันที่สูงเป็นหนึ่งในปัจจัยเสี่ยง แต่ไม่ได้หมายความว่าหากความดันลูกตาสูงจะเป็นต้อหินเสมอไป อาจต้องดูปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ประกอบ ดังนี้
-อายุที่เพิ่มขึ้น ที่มีส่วนทำให้สุขภาพดวงตาเสื่อมถอย-การถ่ายทอดทางพันธุกรรม หรือผู้ที่มีคนในครอบครัวมีประวัติเป็นโรคต้อหิน ก็สามารถส่งต่อโรคต้อหินจากรุ่นสู่รุ่นได้-ผู้ที่มีปัญหาสายตาสั้นมาก ๆ เนื่องจากมีลักษณะจอประสาทตาบาง ทำให้ความดันในลูกตากดทับเส้นประสาทตาได้ง่ายกว่าปกติ-ผู้ที่มีปัญหาสายตายาวมาก ๆ ที่มีลักษณะช่องด้านหน้าลูกตา และมุมตาแคบ มีส่วนทำให้การไหลเวียนของน้ำหล่อเลี้ยงลูกตาไหลเวียนได้ไม่ดีพอ ก็มีโอกาสทำให้เกิดต้อหินได้เช่นกัน-โรคไมเกรน-ผู้ที่เป็นโรคเกี่ยวกับระบบไหลเวียนโลหิต เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ รวมถึงผู้ป่วยโรคเบาหวาน-ผู้ที่เคยผ่านการผ่าตัดเกี่ยวกับดวงตามาก่อน หรือเกิดอุบัติเหตุเกี่ยวกับดวงตาจนทำให้เกิดความเสียหายภายในลูกตา-การใช้ยาสเตียรอยด์ในการรักษาโรคบางชนิดเป็นระยะเวลานาน-ผู้ที่มีลักษณะดวงตา หรือโครงสร้างลูกตาผิดปกติ เช่น มีมุมตาแคบลูกตาเล็ก หรือโรคตาโดยกำเนิดบางชนิดซึ่งสัมพันธ์กับการเกิดต้อหิน
อันตรายของต้อหิน
จะเห็นได้ว่าโรคต้อหินนั้นไม่มีสัญญาณเตือนมาก่อนว่าเรากำลังเผชิญอยู่กับต้อหินหรือไม่ เพราะรู้ตัวอีกทีคุณอาจสูญเสียการมองเห็น หรือร้ายแรงถึงขั้นตาบอดได้ในทันที หรือถ้าได้รับการรักษาแล้ว แต่รักษาไม่ต่อเนื่อง ก็ส่งผลต่อการมองเห็น ทำให้การมองเห็นแคบลงกว่าเดิมได้อีกด้วย โรคต้อหินจึงถือเป็นโรค ต้อ ชนิดหนึ่งที่ควรระวังเป็นอย่างมาก โดยแนะนำว่าควรเข้ารับการตรวจสุขภาพดวงตาอย่างน้อยปีละ 1 ครั้งจะดีที่สุด
เราสามารถป้องกันการเป็นต้อหินได้หรือไม่
เราไม่สามารถป้องกันการเป็นโรคต้อหินได้โดยตรง เพียงแต่เราสามารถดูแลตัวเองเพื่อไม่ให้ต้อหินมีอาการที่ย่ำแย่หรือรุนแรงกว่าเดิมได้ด้วยการเข้ารับการตรวจสุขภาพตาอย่างเป็นประจำ อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง โดยเฉพาะในผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป และผู้ที่คนในครอบครัวมีประวัติเคยเป็นโรคเกี่ยวกับดวงตามาก่อน ขณะเดียวกันก็ควรระมัดระวังไม่ให้เกิดอุบัติเหตุที่รุนแรงจนกระทบกับจอประสาทตา หรือดวงตาร่วมด้วย
วิธีการรักษาต้อหิน
แม้ว่าเราจะไม่สามารถป้องกันการเกิดต้อหินได้ แต่เราสามารถเลือกแนวทางการรักษาเพื่อป้องกันไม่ให้เส้นประสาทตา หรือดวงตาของเราถูกทำลายเนื่องจากต้อหินได้ โดยวิธีการรักษาต้อหินมีอยู่ด้วยกันหลายวิธี ไม่ว่าจะเป็น
●การใช้ยาหยอดตา
เพื่อลดความดันภายในลูกตา การใช้ยาหยอดตาถือเป็นหนึ่งในวิธีรักษาต้อหินที่พื้นฐานที่สุด โดย ยาต้อหินเหล่านี้จะมีคุณสมบัติทั้งในการช่วยเพิ่มอัตราไหลของของเหลวในลูกตา และลดการผลิตของเหลวในดวงตา ส่งผลให้ความดันลูกตาลดลง
ทั้งนี้การใช้ยาหยอดตาเพื่อรักษาต้อหินจะออกฤทธิ์ได้ไม่นานนัก จำเป็นต้องใช้ตามความถี่ที่แพทย์สั่ง เพื่อประคับประคองอาการให้ไม่รุนแรง หากไม่ปฏิบัติตามแพทย์แนะนำ ใช้ไม่ต่อเนื่องก็มีโอกาสที่ความดันในลูกตาจะกลับมาสูงขึ้น หรือถ้าใช้บ่อยจนเกินไปก็อาจเกิดผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพตาและการมองเห็นได้เช่นกัน
●การใช้เลเซอร์
ในผู้ป่วยที่ใช้ ยาต้อหิน รักษาแล้วไม่ได้ผล ไม่สามารถลดความดันในลูกตาให้กลับมาเป็นปกติได้ หรืออาจมีอาการแพ้ผลข้างเคียงของยา แพทย์ก็จะแนะนำให้เข้ารับการรักษาด้วยเลเซอร์เพื่อดูแลรักษาต้อหินแทน หรืออาจแนะนำให้ทำเลเซอร์ควบคู่ไปกับการใช้ยาหยอดตาก็ได้
●การผ่าตัด
หากมีอาการต้อหินรุนแรง การผ่าตัดถือเป็นทางเลือกสุดท้ายในการช่วยควบคุมอาการต้อหินไม่ให้รุนแรงหรือย่ำแย่ไปกว่าเดิม โดยจะเป็นการผ่าตัดเพื่อสร้างทางระบายสำหรับน้ำหล่อเลี้ยงลูกตาใหม่ ทำให้สามารถลดความดันในตาให้กลับเป็นปกติได้
ต้อหิน เป็นปัญหาทางสายตาที่ไม่ควรละเลย เพราะไม่เพียงแต่จะไม่มีสัญญาณแจ้งเตือนล่วงหน้าแล้ว รู้ตัวอีกทีอาจจะสูญเสียการมองเห็นจนยากต่อการรักษาได้ ฉะนั้นควรเข้ารับการตรวจกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอย่างสม่ำเสมอ เพื่อรับการวินิจฉัยและกำหนดหาแนวทางในการดูแลรักษาโรคต้อหินอย่างเหมาะสม
บริษัท โรงพยาบาลตากรุงเทพ จำกัด
อาคารเดอะ เมอร์คิวรี่ วิลล์ แอท ชิดลม 540 ชั้น7 ห้อง703
ถนนเพลินจิต แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร 1033002-869-8899
Copyright © 2024 All Rights Reserved.