ศูนย์โรคตาทั่วไป
ใช้สายตามากเกินไปตาแห้งเรื้อรังโดยไม่รู้ตัว
โรคตาแห้งเกิดได้จากหลายปัจจัย ทั้งจากภาวะทางร่างกายเองและจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน ไม่ควรใช้สายตาหนักเกินไปและรู้วิธีป้องกันรักษาภาวะตาแห้งก่อนจะกลายเป็นโรคเรื้อรัง
ธรรมชาติของดวงตาได้รับความชุ่มชื้นจาก ออกซิเจน สารอาหารต่างๆจากน้ำตาที่คอยหล่อเลี้ยงและช่วยปกป้องดวงตาจากสิ่งสกปรกต่าง ๆ ป้องกันการติดเชื้อ และตาแห้ง แต่ก็มีปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้น้ำตามีปริมาณน้อยลงหรือคุณสมบัติเปลี่ยนแปลงไป ในภาวะที่ดวงตาขาดความชุ่มชื้นจะเกิดการระคายเคืองขึ้น เมื่อนานวันเข้าจะนำไปสู่การเป็นโรคเรื้อรังที่อาจรักษายาก ทำลายดวงตาให้เสื่อมสภาพเร็วขึ้นได้
ตาแห้งเกิดจากอะไร
สาเหตุหลักที่ทำให้ดวงตาของเราขาดความชุ่มชื้น คือ
1.กระบวนการผลิตน้ำตา คุณภาพของน้ำตา และโครงสร้างภายในต่อมน้ำตาผิดปกติ
การทำงานของต่อมน้ำตามักเปลี่ยนแปลงไปเมื่ออายุมากขึ้น ปัญหานี้พบในผู้หญิงได้บ่อยกว่าผู้ชาย ส่งผลให้ผลิตน้ำตาได้ลดลงหรือลักษณะเปลี่ยนแปลงไปจากสาเหตุอื่น เช่น การตั้งครรภ์ ความไม่สมดุลของฮอร์โมน เป็นต้น
นอกจากนี้การที่ดวงตาขาดความชุ่มชื้นยังอาจเกิดจากคุณภาพของน้ำตาที่เสื่อมลง ถึงแม้ว่าน้ำตาจะถูกผลิตออกมาในปริมาณที่เพียงพอ แต่คุณภาพไม่ดี มีส่วนประกอบไม่ครบหรือไม่เหมาะสมก็ทำให้ดวงตาของเราแห้งได้ รวมถึงการที่โครงสร้างน้ำตาซึ่งประกอบด้วยสารต่าง ๆ มีความผิดปกติไปจากเดิม เช่น ต่อมไขมันอุดตันทำให้ปริมาณไขมันในน้ำตาลดลงจนเกิดการระเหยของน้ำตาเร็วเกินไปและเกิดอาการเคืองตาได้ง่าย
2.โรคบางอย่างและการใช้ยา
เป็นสาเหตุที่หลีกเลี่ยงได้ยากโดยเฉพาะผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคภูมิแพ้ โรคความดันโลหิตสูง โรครูมาตอยด์ โรคไทรอยด์ โรคเหล่านี้จำเป็นต้องใช้ยารักษาซึ่งยาบางตัวมีผลทำให้น้ำตาลดลง
นอกเหนือจากโรคประจำตัวที่กล่าวมาข้างต้นแล้วยังมีโรคทางตา และความผิดปกติอื่น ๆ ในดวงตาที่เป็นสาเหตุทำให้ดวงตาขาดความชุ่มชื้น เช่น สายตาสั้น สายตายาว จอประสาทตาเสื่อม รวมถึงอาการผิดปกติ เช่น เปลือกตาม้วนเข้าในหรือแบะออกข้างนอก ขนตาทิ่มตา เยื่อบุตาอักเสบ อาการเหล่านี้ล้วนแล้วแต่มีผลต่อดวงตาทั้งสิ้น
3.พฤติกรรมการดำเนินชีวิต
สาเหตุข้อนี้สามารถควบคุมได้โดยตัวของเราเองเป็นผู้กำหนดว่าจะทำให้สุขภาพดวงตาดีขึ้นหรือแย่ลง ในยุคปัจจุบันคนส่วนใหญ่มีความจำเป็นที่จะต้องทำงานตลอดทั้งวัน และถ้าอยู่ติดกับหน้าจอคอมพิวเตอร์ ใช้สายตาโดยไม่คำนึงถึงสุขภาพของดวงตา ย่อมมีความเสี่ยงต่อปัญหาที่จะเกิดมากขึ้น ประกอบกับยุคนี้เป็นยุคที่คนติดโซเชียลอย่างมาก การใช้สมาร์ทโฟนในแต่ละวันส่งผลต่อสุขภาพของดวงตาให้แย่ลงได้ การใช้สายตามากเกินไปโดยไม่พักมีความเสี่ยงที่จะทำให้อาการหนักมากขึ้นจนกลายเป็นโรคเรื้อรัง รักษายาก
อาการของโรคตาแห้ง
หลายคนอาจไม่รู้ตัวว่าเป็นโรคนี้จึงไม่ได้พบแพทย์เพื่อรักษา เมื่อเกิดการระคายเคืองตามักคิดว่ามีฝุ่นหรือผงเข้าตาและใช้วิธีหยอดน้ำตาเทียมเพื่อบรรเทาอาการ แต่อาจไม่ได้รักษาสาเหตุหรือต้นตอของปัญหาในระยะยาว อาการที่บ่งบอกว่าดวงตากำลังมีภาวะภาวะตาแห้ง ได้แก่
- การระคายเคืองตา
- แสบตา โดนแสงโดนลมไม่ได้
- ตาพร่า มองเห็นไม่ชัด แต่อาการดีขึ้นหลังกระพริบตา
- บริเวณตาขาวมีสีแดง
- น้ำตาไหล
- มองแสงแดดจ้าไม่ได้
- สายตาล้าได้ง่าย
- ปวดตาและปวดหัว
หากมีอาการเหล่านี้อย่านิ่งนอนใจควรไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษา เพราะโรคนี้หากปล่อยไว้เป็นเวลานานจนอาการเป็นมากขึ้น อาจส่งผลกระทบต่อกระจกตาทำให้กระจกตาถลอกเป็นแผล ติดเชื้อ มีแผลเป็นทีกระจกตา และกลายเป็นโรคเรื้อรังได้
ตาแห้ง ปัญหาของคนที่มีค่าสายตาไม่ปกติ
อาการเคืองตา เพราะดวงตาขาดความชุ่มชื้นพบได้บ่อยในคนที่มีค่าสายตาผิดปกติ ไม่ว่าจะเป็นสายตาสั้น สายตายาว หรือสายตาเอียง ซึ่งแต่ละกรณีทำให้ตาต้องทำงานหนักในการปรับโฟกัสภาพ ใช้สายตาเพ่งมองวัตถุนาน ๆ ทำให้ตาล้า การกระพริบตาลดลง บางคนไม่ชอบใส่แว่นตาเพราะรู้สึกรำคาญ ไม่สะดวก กังวลว่าใส่แว่นแล้วไม่สวย ไม่หล่อ จึงทำให้ดวงตาต้องรับบทหนักโดยไม่มีตัวช่วย
ปัญหาเรื่องค่าสายตาที่กระทบต่อการมองเห็นควรได้รับการแก้ไข หากไม่ต้องการใส่แว่น อาจใช้ช้วิธีอื่น เช่น การใส่คอนแทคเลนส์ หรือทำเลสิค ถ้าไม่ได้ใช้วิธีใดเลยโดยปล่อยให้ตาทำงานหนัก ในระยะยาวเป็นการทำร้ายดวงตา ทำให้ตาของเรายิ่งแห้งมากขึ้น
ตาแห้งใส่คอนแทคเลนส์ได้ไหม
ทางเลือกของคนสายตาสั้น ยาว และเอียงที่ได้รับความนิยมมากกว่าการใส่แว่นตาก็คือคอนแทคเลนส์ เพราะสะดวกกว่า คล่องตัวกว่าการใส่แว่นและเพิ่มความมั่นใจมากขึ้นสำหรับคนที่รู้สึกว่าใส่แว่นแล้วไม่สวยไม่หล่อ แต่ก็อาจจะยังมีข้อข้องใจอยู่ว่า คนที่มีตาแห้งใส่คอนแทคเลนส์ได้ไหม และจะเลือกคอนแทคเลนส์แบบไหนดี
ตาแห้งใส่คอนแทคเลนส์ได้ไหม คำตอบคือส่วนใหญ่ใส่ได้ ทั้งนี้ขึ้นกับความรุนแรงของภาวะตาแห้ง ชนิดและลักษณะของคอนแทคเลนส์ด้วยส่วนการเลือกคอนแทคเลนส์เพื่อลดผลกระทบต่อสุขภาพตานั้นควรคำนึงถึงผลิตภัณฑ์ที่ช่วยให้ความชุ่มชื้น คุณสมบัติอมน้ำของตัวเลนส์ เลือกเลนส์ชนิดนิ่มใส่แล้วตาไม่แห้งมาก ขนาดและค่าสายตาพอเหมาะ สบายตา และการใช้งานไม่ควรใส่ติดต่อกันนานเกินไป เพราะการใส่คอนแทคเลนส์เป็นเวลาหลายชั่วโมงในแต่ละวันเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำร้ายสุขภาพดวงตาในระยะยาว
สำหรับผู้ที่ตาแห้งมากๆแต่ยังต้องการใช้คอนแทคเลนส์ หรือมีตาแห้งรุนแรงจากโรคอื่นๆ เช่น Sjogren’s Syndrome หรือ Steven Johnson Syndrome ปัจจุบันมีคอนแทคเลนส์ชนิดพิเศษ (Scleral Lens) เป็นเลนส์ชนิดที่สามารถเก็บน้ำไว้ใต้เลนส์ตลอดเวลา เพิ่มความชุ่มชื่นให้กับกระจกตาลดการเสียดสีของกระจกตากับเปลือกตาหรืออวัยวะข้างเคียง
วิธีลดอาการตาแห้งแบบธรรมชาติ
ในส่วนของปัจจัยจากการดำเนินชีวิตที่ทำให้สุขภาพตาแย่ลงนั้น เราทุกคนสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อถนอมรักษาดวงตาของเรา และป้องกันตาแห้งเรื้อรังได้ ตัวอย่างวิธีลดอาการตาแห้งก็คือ
- การหยอดน้ำตาเทียม เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น ช่วยลดอาการเคืองตา ได้ น้ำตาเทียมมีหลายชนิด และมีรายละเอียดอีกมากซึ่งอาจกล่าวในบทความต่อไป โดยเบื้องต้นน้ำตาเทียมชนิดที่มีสารกันเสีย มักมีราคาถูกกว่ามีอายุใช้งานนานกว่า ช่วยลดขยะพลาสติกลดภาวะโลกร้อน แต่น้ำตาเทียมชนิดนี้ไม่เหมาะกับผู้ที่ต้องหยอดยามากกว่า 4 ครั้งต่อวัน เป็นระยะเวลานานๆ
- ทำความสะอาดเปลือกตาทุกวัน วันละ 1 - 2 ครั้ง โดยเน้นบริเวณโคนขนตา เพื่อลดการสะสมของไขมัน เหงื่อ เครื่องสำอางค์ เชื้อโรค หรือสิ่งแปลกปลอมอื่นๆที่ระคายเคืองต่อดวงตาได้
- ปรับพฤติกรรมการใช้สายตา ใช้กฎ 20-20-20 กล่าวคือ ขณะทำงานทุกๆ 20 นาที ควรพักสายตา 20 วินาที โดยการมองไปที่ไกลมากกว่า 20 ฟุต (เทียบเท่าระยะ 6 เมตร)
- ใส่แว่นตากันแดดและกันลม เมื่อต้องทำกิจกรรม Outdoor
การรักษาตาแห้งไม่ให้ลุกลาม
สำหรับผู้ที่เป็นโรคตาแห้ง สามารถรักษาด้วยวิธีทางการแพทย์ซึ่งมีหลายวิธีดังต่อไปนี้
- การใช้ยาช่วยลดอาการอักเสบและอาการระคายเคืองที่บริเวณกระจกตา
- การใช้ยากระตุ้นต่อมน้ำตาให้ทำงานมากขึ้น
- การใช้น้ำตาซีรั่ม เป็นยาหยอดตาชนิดหนึ่งที่นำเอาเลือดของคนไข้มาเป็นส่วนผสม โดยจักษุแพทย์จะเป็นผู้จัดเตรียมซีรั่มนี้ให้มีความเข้มข้นตามอาการของคนไข้ มักใช้ในคนที่มีตาแห้งรุนแรง
- การอุดรูระบายน้ำตาเพื่อชะลอการระบายของน้ำตา ทำให้มีน้ำตาสะสมในตาของเรามากขึ้น เหมาะสำหรับคนไข้ที่มีอาการรุนแรง
- ในกรณีที่มีอาการรุนแรง แพทย์จะใช้ยากลุ่มสเตียรอยด์หยอดตาลดการอักเสบเป็นพักๆ
การรักษาด้วยยาและวิธีการเหล่านี้จะต้องเป็นไปตามดุลยพินิจของแพทย์เพื่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพในการรักษา เนื่องจากยาแต่ละชนิดอาจมีผลข้างเคียงได้ อย่างไรก็ตามการพบจักษุแพทย์เพื่อตรวจและรักษาเป็นเรื่องจำเป็นสำหรับผู้ที่เริ่มมีอาการเกี่ยวกับดวงตา ไม่ว่าจะมากหรือน้อย การรักษาแต่เนิ่น ๆ จะช่วยบรรเทาและหยุดยั้งความรุนแรงได้ดีกว่า พร้อมกันนี้คนไข้จะต้องระมัดระวังเรื่องการใช้สายตาให้มากขึ้น เพื่อถนอมรักษาดวงตาไว้ให้ดีที่สุด โรคทางตาที่หลายคนอาจมองว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย หากปล่อยทิ้งไว้จนกลายเป็นโรคเรื้อรังอาจทำให้ต้องสูญเสียสิ่งที่สำคัญในชีวิตไปและเรียกคืนกลับมาไม่ได้อีกเลย
บริษัท โรงพยาบาลตากรุงเทพ จำกัด
อาคารเดอะ เมอร์คิวรี่ วิลล์ แอท ชิดลม 540 ชั้น7 ห้อง703
ถนนเพลินจิต แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร 1033002-869-8899
Copyright © 2024 All Rights Reserved.