ชวนสังเกตอาการเริ่มต้นต้อกระจก เมื่อไหร่ที่ควรรักษา
อาการเริ่มต้นของโรคต้อกระจกคือตามัว เห็นภาพไม่ชัด คุณภาพการมองเห็นลดลงซึ่งมักมีอาการในที่มืดหรือมีแสงน้อย เช่น การขับรถเวลากลางคืน มองเห็นรุ้งรอบดวงไฟ ค่าสายตาเปลี่ยนแปลงต้องเปลี่ยนแว่นสายตาหรือคอนแทคเลนส์บ่อยขึ้น มองเห็นภาพซ้อน มีการมองเห็นสีที่ผิดเพี๊ยนไป เช่น มองเห็นกระดาษสีขาวมีความเหลืองคล้ายกระดาษเก่าๆ ซึ่งหากพบว่ามีอาการควรพบจักษุแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและรักษา
จากการสำรวจขององค์การอนามัยโลกพบว่ามีคนที่ต้องตาบอดจากโรคต้อกระจกมากกว่า 20 ล้านคนทั่วโลก ซึ่งเหตุผลนั้นหนีไม่พ้นคนส่วนใหญ่เข้าใจว่าอาการตาพร่า ตามัว และมองเห็นภาพไม่ชัดเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของค่าสายตา จึงเข้ารับการตรวจวินิจฉัยล่าช้ากว่าจะรู้ตัวโรคต้อกระจกลุกลามเข้าสู่ระยะต้อสุกงอม ทำให้การผ่าตัดรักษาต้อกระจก หรือรักษาด้วยวิธีอื่น ๆ ทำได้ยากมากขึ้น เสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนหรืออาจสูญเสียการมองเห็นถาวรได้ ดังนั้นการหมั่นสังเกตการเปลี่ยนแปลงของดวงตาและคุณภาพการมองเห็นจึงเป็นเรื่องสำคัญ หากมีอาการตามัวลงอย่างเฉียบพลัน มองเห็นแสงวาบคล้ายแสงแฟลชในตา เห็นภาพซ้อน มีอาการปวดตาหรือปวดศีรษะเฉียบพลันควรรีบพบจักษุแพทย์โดยเร็ว โรคต้อกระจกมีอาการเริ่มต้นอย่างไร ควรเริ่มรักษาตั้งแต่ระยะไหน และ การรักษาต้อกระจกทำอย่างไรได้บ้าง บทความนี้มีคำตอบมาฝาก
ทำความรู้จักต้อกระจก
โรคต้อกระจก (Cataract) คือโรคทางตาชนิดหนึ่งที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างโปรตีนของเลนส์ตา ทำให้เลนส์ตามีลักษณะเป็นไตแข็ง หรือมีสีขุ่นขึ้น มักเกิดขึ้นอย่างช้าๆค่อยเป็นค่อยไป โดยอาจเริ่มขุ่นจากบริเวณขอบเลนส์หรือจากกลางเลนส์ก็ได้ การที่เลนส์ตาเปลี่ยนแปลง มีความขุ่นจึงทำให้แสงผ่านได้น้อยลงหรือการโฟกัสของแสงเปลี่ยนแปลงไปจนส่งผลเสียต่อคุณภาพการมองเห็น โดยทั่วไปผู้ที่มีความเสี่ยงเป็นโรคต้อกระจกคือผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป มีสาเหตุจากความเสื่อมของร่างกาย แต่ถึงอย่างนั้นทารกและคนอายุน้อยก็สามารถเป็นโรคต้อกระจกได้เช่นกัน ซึ่งมักมีสาเหตุจากอุบัติเหตุกระทบกระเทือนดวงตา การรับแสง UV ในปริมาณมากเกินไป การสูบบุหรี่ การรับประทานยารักษาโรคบางชนิด และโรคที่เกี่ยวข้องกับภาวะต้อกระจก อย่างโรคเบาหวาน โรคกาแล็กโทซีเมีย โรควิลสัน โรคม่านตาอักเสบ หรือตาติดเชื้อ
ต้อกระจกมีกี่ประเภท
โรคต้อกระจกแบ่งได้หลายแบบ เช่น แบ่งตามลักษณะของต้อกระจกที่ตรวจพบ แบ่งตามสาเหตุการเกิดโรค เป็นต้น ในบทความนี้แบ่งโรคต้อกระจกออกเป็น 3 ประเภทตามช่วงอายุที่เกิดโรค ดังนี้
1.โรคต้อกระจกโดยกำเนิด (Congenital Cataract)
เป็นโรคต้อกระจกที่เกิดกับทารกแรกเกิด มีสาเหตุจากความผิดปกติทางพันธุกรรมของทารกหรือมารดาได้รับการกระตุ้นจากรังสี ยาบางประเภท มีภาวะขาดสารอาหารในระหว่างตั้งครรภ์ จึงส่งผลให้เกิดความผิดปกติกับทารกในครรภ์ ในกรณีเลนส์ตาขุ่นเพียงเล็กน้อยจะไม่ส่งผลกระทบกับการมองเห็น แต่ในรายที่มีอาการขุ่นมากจะทำให้เด็กมีภาวะตาขี้เกียจหรือมีปัญหาการมองเห็นได้
2.โรคต้อกระจกในวัยเด็กหรือวัยรุ่น (Juvenile Cataract)
เป็นโรคต้อกระจกที่เกิดในช่วงวัยทารกถึงวัยผู้ใหญ่ มีสาเหตุจากความผิดปกติของพันธุกรรม โรคพันธุกรรมเมตาบอลิค ภาวะม่านตาอักเสบ ประสบอุบัติเหตุกระทบกระเทือนเลนส์ตา เป็นต้น
3.โรคต้อกระจกในวัยชรา (Senile Cataract)
เป็นโรคต้อกระจกที่พบมากที่สุด มีสาเหตุจากความเสื่อมของร่างกาย ซึ่งส่วนใหญ่มักเกิดขึ้นกับดวงตาทั้งสองข้างใกล้เคียงกัน
ระยะของต้อกระจก
เช่นเดียวกับโรคตาประเภทอื่น โรคต้อกระจกมีระดับความรุนแรงเริ่มต้นจากระดับน้อยแล้วจึงลุกลามรุนแรงขึ้น ซึ่งในทางการแพทย์แบ่งระยะของโรคต้อกระจกเป็น 4 ระยะ ได้แก่
●ระยะ Incipientเป็นระยะที่เลนส์ตาเริ่มมีอาการเกิดขึ้น โดยปกติจะเริ่มขุ่นจากกลางตาแต่รอบเลนส์ตาใสหรือกลางตาใส่แต่รอบดวงตาขุ่นก็ได้ ซึ่งในช่วงแรกมักจะเกิดขึ้นช้าๆทำให้ผู้ป่วยจะไม่สังเกตเห็นถึงความเปลี่ยนแปลง แต่หากเลนส์ตามีความขุ่นมากขึ้นจะส่งผลต่อคุณภาพการมองเห็น●ระยะ Intumescentเป็นระยะที่เลนส์ตามีการดูดซึมน้ำมากขึ้น ทำให้เลนส์ตามีอาการบวม ระดับความโค้งมากขึ้น ม่านตาดันไปข้างหน้าและตื้นขึ้น●ระยะ Matureเป็นระยะที่เส้นใยในเลนส์ตาทุกเส้นขุ่น เมื่อมองด้วยตาจะเห็นเลนส์ตาเป็นสีขาว และจอประสาทตาไม่สะท้อนแสง ทำให้แสงผ่านเลนส์ตาไม่ได้ ●ระยะ Hypermatureเป็นระยะที่ต้อกระจกสุก เส้นใยเลนส์ตาสลายเป็นของเหลว ทำให้นิวเคลียสเลนส์ตาเคลื่อนที่ได้
ต้อกระจกสังเกตอย่างไร
อย่างที่รู้แล้วว่าโรคต้อกระจกมีการพัฒนาของโรค 4 ระยะ ซึ่งพัฒนาความรุนแรงจากน้อยไปหามากเช่นเดียวกัน โดยแต่ละระยะมีอาการดังต่อไปนี้
●ระยะที่ 1เนื่องจากเป็นระยะเริ่มต้นจึงทำให้ระยะนี้ความขุ่นที่เลนส์ตาและอาการต่าง ๆ ยังไม่ชัดเจน แต่โดยส่วนใหญ่จะมีอาการดวงตาล้า มองภาพไม่ชัด ค่าสายตาเปลี่ยน หรือมีอาการปวดหัว●ระยะที่ 2ถือเป็นระยะก่อนต้อสุก ระยะนี้จะเห็นเลนส์ตามีสีขาวขุ่นแต่ไม่มาก เหมือนมีหมอกขวางการมองเห็น การมองเห็นไม่ชัดแม้อยู่ในที่สว่าง และค่าสายตาเปลี่ยนแปลงมากขึ้น ซึ่งหากตรวจพบในระยะนี้แพทย์มักแนะนำให้ผู้ป่วยสวมแว่นสายตาเพื่อลดแสงสะท้อนและช่วยเรื่องการมองเห็น เปลี่ยนแว่นตามการเปลี่ยนแปลงของค่าสายตา เพิ่มแสงสว่างภายในบ้าน รวมถึงการหลีกเลี่ยงการขับรถเวลากลางคืน และอาจพิจารณาการผ่าตัดรักษา●ระยะที่ 3ระยะนี้เลนส์ตาขุ่นกระจายจนทั่วและส่งผลกระทบต่อการมองเห็นรวมถึงการใช้ชีวิตประจำวัน ดังนั้นหากตรวจพบในระยะนี้แพทย์ใช้การผ่าตัดรักษาต้อกระจกเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ป่วยสูญเสียการมองเห็น●ระยะที่ 4เป็นระยะที่เลนส์ตาขุ่นมัวมากกว่าในระยะที่ 3 เป็นระยะที่ต้องผ่าตัด เพื่อป้องกันโรคแทรกซ้อนอื่นๆ เช่น โรคต้อหิน
วิธีการรักษาต้อกระจก
การรักษาหลักของต้อกระจก คือการผ่าตัดรักษา เพื่อนำเลนส์ที่เป็นต้อออกและใส่เลนส์ตาเทียมแทนที่ การดำเนินโรคมักเกิดขึ้นช้าๆเหมือนโรคที่เกิดจากความเสื่อมอื่นๆของร่างกาย โดยทั่วไปจักษุแพทย์มักแนะนำให้ผ่าตัดรักษาต้อกระจกเมื่อการมองเห็นเปลี่ยนแปลงจนเริ่มส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน หรือทำให้เกิดโรคอื่นแทรกซ้อน สำหรับการผ่าตัดต้อกระจกที่ได้รับความนิยมมีด้วยกัน 3 แบบ ได้แก่
1.การผ่าตัดลอกต้อกระจก หรือIntracapsular Cataract Extraction (ICCE)
เป็นการผ่าตัดต้อกระจก โดยการนำเลนส์ตา ถุงหุ้มเลนส์ทั้งแคปซูลออกด้วย Freezing Probe และใส่เลนส์ตาเทียมแทนที่ แต่การผ่าตัดวิธีนี้มีข้อเสียตรงที่แผลผ่าตัดใหญ่ จึงใช้เวลาพักฟื้นนาน ทำให้ความโค้งกระจกตาเปลี่ยนแปลงและส่งผลต่อคุณภาพการมองเห็นในภายหลังได้ ปัจจุบันจีงแทบไม่ได้ใช้การผ่าตัดวิธีนี้
2.การผ่าตัดต้อกระจกแผลใหญ่ หรือ Extracapsular Extraction (ECCE)
เป็นการผ่าตัดนำเอาเลนส์ตาออกให้เหลือเพียงเยื่อหุ้มเลนส์บางส่วนและใส่เลนส์ตาเทียมแทนที่ ซึ่งข้อเสียของการรักษาวิธีนี้คือมีบาดแผลขนาดใหญ่และต้องมีการเย็บปิดปากแผลบริเวณกระจกตา จึงต้องใช้เวลาพักฟื้นนานเช่นเดียวกับวิธีแรก ในอนาคตอาจมีภาวะสายตาเอียงจากแผลขนาดใหญ่บริเวณกระจกตาและพังผืดบริเวณตาขาวได้
3.การสลายต้อกระจกด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง หรือ Phacoemulsification
เป็นการสลายต้อกระจกด้วยคลื่นเสียงหรือคลื่นอัลตราซาวด์ความถี่สูงเข้าไปสลายเนื้อเลนส์และดูดออกมา จากนั้นจึงใส่เลนส์เทียมเข้าไปแทนที่ ซึ่งข้อดีของการสลายต้อกระจกด้วยคลื่นเสียงความถี่สูงมีข้อดีตรงที่แผลเล็กมาก ขนาดแผลมักไม่เกิน 3 มิลลิเมตร ใช้เวลาพักฟื้นน้อย และลดโอกาสเกิดปัญหาสายตาเอียงในอนาคต จึงเป็นวิธีการผ่าตัดที่นิยมมากที่สุดในปัจจุบันเนื่องจากได้ผลการรักษาดี และใช้เวลาการพักฝื้นเร็ว
ป้องกันต้อกระจกไม่ใช่เรื่องยาก
โรคต้อกระจกเป็นโรคที่มาพร้อมกับอายุที่มากขึ้น ในปัจจุบันยังไม่มีการป้องกันหรือชะลอโรคแบบ 100% แต่ความรู้ทางการแพทย์ที่มีในปัจจุบันเชื่อว่ามีหลายวิธีที่มีประโยชน์ โดยแนะนำให้ปฏิบัติดังนี้
●เวลาออกแดดควรสวมแว่นตากันแดดเพื่อชะลอการเสื่อมของเลนส์ตาจากแสง UV●เสริมความแข็งแรงให้ดวงตาด้วยการรับประทานผักผลไม้ซึ่งมีสารต้านอนุมูลอิสระต่างๆ ปัจจุบันการรับประทานอาหารเสริมต่างๆยังไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่าสามารถป้องกันโรคต้อกระจก แต่จากงานวิจัยพบว่าการรับประทานผักและผลไม้ตามธรรมชาติสามารถลดความเสี่ยงการเกิดต้อกระจกได้●ควรงดสูบบุหรี่และเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์●หากมีโรคประจำตัวควรควบคุมระดับน้ำตาล ความดันโลหิต ให้อยู่ในเกณฑ์ปกติตามคำแนะนำของแพทย์●รักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม●ควรตรวจสุขภาพเป็นประจำ เพื่อประเมินความเสี่ยงเรื่องโรคประจำตัวและโรคต้อกระจก ช่วยคัดกรองโรคแต่เนิ่นๆ ซึ่งความถี่ในการตรวจตาของแต่ละคนนั้นอาจแตกต่างกันไป
เป็นอย่างไรบ้างสำหรับข้อมูลดี ๆ เกี่ยวกับโรคต้อกระจกที่นำมาฝาก ซึ่งถึงแม้โรคต้อกระจกจะเป็นโรคที่ยังป้องกันไม่ได้ทั้งหมด แต่ก็สามารถรักษาได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้นรวมทั้งยังมีผลการรักษาที่ดี ดังนั้นการหมั่นสังเกตความผิดปกติของดวงตาและการมองเห็น หากรู้เร็วรักษาเร็วหมดกังวลเรื่องสูญเสียการมองเห็นไปได้เลย
บริษัท โรงพยาบาลตากรุงเทพ จำกัด
อาคารเดอะ เมอร์คิวรี่ วิลล์ แอท ชิดลม 540 ชั้น7 ห้อง703
ถนนเพลินจิต แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร 1033002-869-8899
Copyright © 2024 All Rights Reserved.