ศูนย์ตาและต้อกระจก

เป็นต้อหิน (Glaucoma)​ รักษาหายไหม ​อา​การเป็นอย่างไร

ศูนย์ตาและต้อกระจก เป็นต้อหิน (Glaucoma)​ รักษาหายไหม ​อา​การเป็นอย่างไร

โรค ต้อหิน​ สาเหตุ​ เกิดจากการเสื่อมของประสาทตา มีหลายปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดต้อหินได้​ ความน่ากลัวของโรคนี้คือ หากรู้ตัวช้า​ รักษาไม่ทันเวลา โรคต้อหินก็จะไปพัฒนาไปจนทำให้ผู้ป่วยตาบอดถาวรได้ สำหรับการรักษาต้อหินในปัจจุบันนี้ยังไม่มีวิธีการรักษาให้หายขาดได้​ เราทุกคนจึงต้องป้องกันตนเองเพื่อลดความเสี่ยงไม่ให้โรคต้อหินเกิดขึ้น วันนี้จึงมีเรื่องราวของโรคต้อหินมาฝาก​เพื่อให้เรียนรู้เท่าทัน​ รวมถึงวิธีป้องกันให้ห่างไกลจากโรคต้อหิน

โรคต้อ​ มีกี่ประเภท

โรคต้อ​ เป็นโรคชนิดหนึ่งที่เกี่ยวกับความผิดปกติของดวงตา​ มีอยู่ด้วยกัน 4 ประเภท คือ​ ​

  1. ต้อกระจก​ (Cataract)โรคต้อกระจกส่วนใหญ่จะพบในผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป​ ลักษณะอาการคือเลนส์แก้วตาขุ่นลง ทำให้การมองเห็นไม่ชัดเจน มองเห็นพร่ามัวเหมือนมีฝ้า หรือหมอกบดบังอยู่​ รวมถึงอาจจะเห็นภาพซ้อนสาเหตุหลักมาจากอาการเสื่อมของเลนส์ตาตามอายุ​  
  2. ต้อลม (Pinguecula)สาเหตุที่ก่อให้เกิดต้อลมมีความเกี่ยวข้องกับเรื่องของแสงแดด ลักษณะอาการคือมีเนื้อนูนขึ้นที่เยื่อบุตาบริเวณด้านข้างกระจกตาดำ โดยจะอยู่เฉพาะที่บริเวณเยื่อบุตาขาวเท่านั้น​ ส่วนใหญ่มักพบเจอในบริเวณหัวตาด้านในใกล้กับจมูก​ เนื้อนูนดังกล่าวนี้เกิดขึ้นได้ทั้งหัวตาและหางตา เมื่อเยื่อบุตานูนขึ้นก็จะทำให้เกิดการระคายเคืองตา​ เกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศทุกวัย
  3. ต้อเนื้อ (Pterygium)สาเหตุที่ก่อนให้เกิดต้อเนื้อ ประเด็นหลักมาจากรังสี UV ของแสงแดดเช่นเดียวกันกับต้อลม ลักษณะอาการคือเห็นเป็นเนื้อสามเหลี่ยมโดยมีหัวอยู่ที่บริเวณกระจกตายื่นเข้าไปเกาะอยู่บนกระจกตาดำ บริเวณเนื้อเยื่อนี้จะมีเส้นเลือดอยู่ด้วย  เนื้อเยื่ออาจจะมีขนาดเล็ก ๆ​ หรือขนาดใหญ่ก็ได้ขึ้นอยู่กับปริมาณเส้นเลือด เกิดได้ทั้งบริเวณหัวตาและหางตาในเวลาเดียวกัน​ เนื่องจากถูกรังสีUV จากแสงแดดเป็นเวลาต่อเนื่องยาวนาน หากต้อเนื้อลุกลามไปถึงกระจกตาจะส่งผลให้ทัศนะในการมองเห็นแย่ลง​ได้
  4. ต้อหิน (Glaucoma)คือตัวการสำคัญที่เป็นสาเหตุให้ตาบอดถาวรในคนไทย รวมถึงประชากรทั่วโลก เป็นโรคที่ทำให้เกิดความเสื่อมของขั้วประสาทตา ส่งผลให้เกิดการสูญเสียการมองเห็น​ ประเทศไทยเรามีผู้ป่วยโรคต้อหินในประชากรที่มีอายุมากกว่า 40 ปี มากถึงร้อยละ 30 ​ โดยคิดเป็นจำนวนสูงถึง 2 ล้านคนเลยทีเดียว​

ทำความรู้จักต้อหิน​ คืออะไร​ โรคต้อหิน​คือ​โรคทางสายตาที่เกิดจากความเสื่อมของขั้วประสาทตาส่งผลให้สูญเสียการมองเห็น ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักไม่ทราบว่าป่วยเป็นโรคนี้อยู่เนื่องจากไม่มีอาการแจ้งเตือน เมื่อไม่มีการแจ้งเตือนที่สังเกตได้ถึงความผิดปกติทางดวงตาเลยทำให้หลายคนไม่สามารถรักษาได้ทันการ​ ส่งผลให้สูญเสียการมองเห็นในที่สุด​ โรคต้อหินพบได้ในคนทุกช่วงอายุแต่ที่พบมากที่สุดคือวัย 40 ปีขึ้นไป​ 

ต้อหินมีแบบไหนบ้าง​ อาการเป็นอย่างไร

1.    ต้อหินชนิดปฐมภูมิ​ (Primary Glaucoma)​ แบ่งออกเป็น 2 ชนิด​ คือ 

1.1 ต้อหินมุมเปิด (Primary Open-Angle Glaucoma) เป็นต้อชนิดที่พบได้บ่อย​ ถูก​แบ่งออกเป็น 2 ประเภท​ คือ​ ความดันตาสูงและความดันตาปกติ​ โดยทั้งสองประเภทนี้จะไม่แสดงอาการปวดตา หรือตาแดง​ ส่งผลให้ผู้ป่วยหลายรายมักจะไม่ทราบว่าตนเองมีปัญหาเกี่ยวกับต้อหิน​ จน​กระทั่งสายตาค่อย ๆ​ มัวลง​ จนสังเกตการเปลี่ยนแปลงได้ก็อาจจะใช้เวลานับเดือน หรือแรมปี จึงเป็นสิ่งที่น่ากังวลว่า​หากไม่รู้ตัวและไม่รักษาอาการให้ทันเวลาก็อาจจะส่งผลให้สูญเสียการมองเห็นได้​ 

1.2 ต้อหินมุมปิด​ (Primary Angle-Closure Glaucoma) ต้อหินมุมปิดสามารถแบ่งออกได้อีก 2 ชนิด คือ 

  • ต้อหินชนิดเฉียบพลัน​ สาเหตุหลักเกิดจากความดันลูกตาที่สูงขึ้นทันทีจึงส่งผลให้ตามัวลงอย่างรวดเร็ว บางรายมีอาการเห็นแสงสีรุ้งรอบๆ​ ดวงตา​ รวมถึงปวดตาอย่างรุนแรงลามไปถึงการปวดศีรษะ​ คลื่นไส้​ อาเจียน หากรักษาไม่ทันก็จะทำให้ตาบอดได้อย่างรวดเร็ว
  • ต้อหินเรื้อรัง เกิดจากความดันลูกตาที่เพิ่มขึ้นอย่างช้า ๆ​ แต่อาจจะไม่สูงมาก​ ส่งผลให้มีอาการปวดตารวมถึงปวดศีรษะเล็กน้อย​ จากนั้นสายตาก็จะค่อย ๆ​ เห็นแคบลง  หรือมัวลงอย่างช้า ๆ​ จนเราแทบจะไม่ค่อยได้สังเกตเห็นความผิดปกตินั้นเลย หลายคนจึงปล่อยทิ้งไว้จนทำให้ประสาทตาเสียไป​  เป็น​ ต้อหินมุมปิด​ ที่ค่อย ๆ​ เริ่มเป็นอย่างช้า ๆ ไม่ให้เรารู้ตัว​ เพราะฉะนั้นหากมีอาการเล็กน้อยก็ควรปรึกษาแพทย์อย่างเร่งด่วน

2. ต้อหินชนิดทุติยภูมิ (Secondary Glaucoma) ต้อหินชนิดนี้ เป็นผลพวงมาจากสาเหตุของโรคตาชนิดอื่น ๆ​ ที่สะสมมาเป็นเวลานาน​ อย่างเช่น​ ม่านตาอักเสบ , อุบัติเหตุทางสายตา , ผลจากการใช้ยาพวกสเตียรอยด์เป็นเวลานาน  , ผลจากเบาหวานขึ้นจอตา รวมไปถึงจากการที่เป็นต้อกระจกมาก่อน 

3.  ต้อหินแต่กำเนิด​ (Congenital Glaucoma) พบได้ในเด็กแรกเกิดไปจนถึงอายุ 3  ขวบ เนื่องจากการถ่ายทอดทางพันธุกรรม จะทำให้เด็กมีอาการน้ำตาไหล , ตาสู้แสงไม่ค่อยได้ , บางรายอาจมีขนาดตาดำใหญ่กว่าปกติ​ รวมถึงกระจกตาดำขาวขุ่น ซึ่งหากไม่ได้รับการรักษาจะทำให้เด็กสูญเสียมองเห็นในที่สุด 

ปัจจัยเสี่ยงและสาเหตุการเกิดต้อหิน 

ต้อหิน สาเหตุ​ นั้นแบ่งออกเป็น​ 2 รูปแบบ​ ​ ต้อหินชนิดปฐมภูมิ​นั้นเกิดขึ้นเอง​ ส่วนต้อหินชนิดทุติยภูมิ​มีสาเหตุมาจากปัจจัยอื่น ๆ เช่น​ อุบัติเหตุเกี่ยวกับดวงตา, ​โรคตาชนิดอื่น ๆ รวมถึงการผ่าตัด ​ ซึ่งผู้ที่เป็นต้อหิน​ อาจเป็นผู้ที่มีความเสี่ยง ดังนี้ 

  • ●ผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป
  • มีคนในครอบครัวเคยเป็นต้อหินมาก่อน
  • สายตาสั้นหรือยาวเกินไป
  • มีประวัติใช้ยาสเตียรอยด์ติดต่อกันเป็นเวลานาน
  • เคยบาดเจ็บ​ หรือ​ผ่าตัดดวงตามาก่อน
  • เคยเป็นโรคที่ส่งผลเกี่ยวกับการไหลเวียนเลือด​ เช่น​ เบาหวาน​ , ความดันโลหิตสูง

วิธีการรักษาต้อหิน​

เป็นการยากที่จะรักษาโรคต้อหินให้หายขาดเนื่องจากโรคนี้ทำให้เส้นประสาทตาของเราเสียหายอย่างถาวร การรักษาก็เพียงเพื่อประคับประคองและป้องกันไม่ให้ประสาทตาถูกทำลายมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งรักษาได้ด้วยวิธีดังต่อไปนี้

● รักษาด้วยยา​ ยาต้อหิน​ มีด้วยกันอยู่หลายกลุ่ม​ เป็นยาเพื่อลดการผลิตของน้ำหล่อเลี้ยงภายในลูกตา หรือเพื่อที่จะไปช่วยลดความดันลูกตา​ ขยายช่องถ่ายเทให้น้ำไหลออกสะดวกขึ้น​ ซึ่งผู้ป่วยจะต้องทำการหยอด​ยา​รักษาต้อหิน​ อยู่สม่ำเสมอและหมั่นตรวจเช็คกับจักษุแพทย์พร้อมติดตามอาการตามแพทย์นัดหมาย

● รักษาด้วยการผ่าตัด​ แบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ​ 

  1. Trabeculectomy คือการผ่าตัดแบบมาตรฐาน​ ​โดยการเจาะผนังลูกตาทำทางระบายน้ำเพื่อลดความดันตา
  2. Glucoma Drainage Device (GDD) คือการผ่าตัดที่แพทย์จะใส่ท่อวัสดุสังเคราะห์จำพวกซิลิโคนเข้าไปในช่องหน้าม่านตา จะมีจานกักเก็บเย็บวางไว้หลังลูกตาเพื่อช่วยระบายน้ำออกจากช่องหน้าม่านตา โดยวิธีการนี้มักจะใช้หลังจากเคยทำการการผ่าตัดแบบ Trabeculectomy มาก่อนแล้วล้มเหลว

● รักษาด้วยเลเซอร์สำหรับการรักษาด้วยวิธีนี้ แพทย์จะต้องพิจารณาที่ชนิดและระยะของโรคก่อนการรักษา 

แนวทางป้องกันต้อหิน

  1. อย่าชะล่าใจเมื่อมีอาการผิดปกติเกี่ยวกับสายตา ไม่ว่าจะเป็นตาพร่า , มองไม่ชัด​ หรือ​ตาอักเสบ ต้องหมั่นเช็กการมองเห็นของตัวเองอยู่เสมอ หากเกิดสิ่งผิดปกติให้รีบปรึกษาแพทย์
  2. ผู้ที่มีอายุ 40 ปี​ ขึ้นไป​ ควรตรวจสายตาอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
  3. หากเป็นโรคเบาหวาน , ความดันโลหิตสูง ควรควบคุมโรคและรักษาอาการให้ดีเนื่องจากโรคเหล่านี้เป็นปัจจัยเสี่ยงที่นำไปสู่การเป็นโรคต้อหินได้
  4. ทำงานในที่แจ้งกลางแสงแดด ควรปกป้องดวงตาโดยการสวมแว่นกันแดดและหมวกปีกกว้างทุกครั้ง
  5. หากมีความผิดปกติเกี่ยวกับดวงตาไม่ควรซื้อยาใช้เอง 
  6. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ​ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์​ เน้นจำพวกบำรุงสายตา​อย่าง​ วิตามินเอ  , วิตามินอี​ และวิตามินซี

โรคต้อรู้ทันรักษาได้​ เพราะฉะนั้นไม่ควรชะล่าใจต้องหมั่นสังเกตและตรวจเช็กสายตาของตัวเองอยู่เสมอโดยเฉพาะในวัยที่อายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไป​ ควรตรวจสายตาทุกปี​อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง และหมั่นเอาใจใส่ดูแลสุขภาพดวงตาอยู่เสมอเพื่อให้ห่างไกลจากโรคต้อ​

 ต้อหิน (Glaucoma) เป็นแล้วรีบรักษา ก่อนสูญเสียการมองเห็น
 ต้อหินมุมปิดรักษาอย่างไรให้หายขาด ใช้เวลานานไหม
 อายุเท่าไหร่เสี่ยงเป็นต้อหินมุมปิด
 อาการแทรกซ้อนหลังการผ่าตัดต้อกระจก
 อาการต้อหินมุมปิด แตกต่างจากต้อหินมุมเปิดอย่างไร

Copyright © 2024 All Rights Reserved.