รอยแผลเป็นที่ เรียกว่าคีลอยด์
รอยแผลเป็นประเภทที่มีลักษณะนูนแข็งและมีขนาดใหญ่กว่ารอยแผลธรรมดาเรียกว่า "คีลอยด์" การป้องกันไม่ให้เกิดรอยคีลอยด์สามารถทำได้โดยการดูแลแผลอย่างเหมาะสมหลังการผ่าตัด สำหรับกรณีที่มีรอยนูนเกิดขึ้นแล้วนั้น สามารถใช้การทายาและการนวดรอยแผล แต่ถ้าหากรอยแผลยังไม่ดีขึ้นหรือมีขนาดใหญ่ขึ้น อาจจำเป็นต้องใช้วิธีการรักษาเพิ่มเติม เช่น การรักษาด้วยเลเซอร์หรือการผ่าตัด
แผลเป็นที่เรียกว่าคีลอยด์ คืออะไร
คีลอยด์เป็นรอยแผลเป็นที่เกิดขึ้นหลังจากการบาดเจ็บหรือการผ่าตัด กระบวนการเยียวยาผิวหนังสามารถแบ่งออกเป็น 3 ระยะ ได้แก่
1. ระยะที่แผลอักเสบ
2. ระยะซ่อมแซมเนื้อเยื่อ
3. ระยะปรับสภาพ ซึ่งจะเกิดขึ้นภายในระยะเวลา 2-3 สัปดาห์ หลังจากที่แผลได้ปิดสนิทแล้ว ในช่วงเวลานี้อาจพบว่ามีการเกิดแผลเป็นเกิดขึ้นจากกระบวนการปรับสภาพ
รอยแผลเป็นมีหลายประเภท เช่น แผลปกติซึ่งสีของเนื้อบริเวณแผลจะซีด แต่ผิวจะเรียบ หรือแค่มีรอยที่มีสีเข้มเล็กน้อย, แผลเป็นแบบหลุม และแผลเป็นนูนเกิน ซึ่งคีลอยด์เป็นแผลที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น เนื่องจากเนื้อบริเวณแผลจะนูนออกมาจนผิดปกติ ทำให้ดูไม่สวยงาม และมีแนวโน้มที่จะหายยากกว่าปกติ
แผลเป็นชนิดนี้สามารถเกิดขึ้นกับผิวบริเวณไหนก็ได้ที่เกิดแผล โดยเฉพาะบริเวณผิวหนังที่มีหนาแน่นของชั้นผิวเยอะกว่าปกติ จะมีโอกาสเกิดแผลรอยนูนได้มากขึ้น เช่น บริเวณหัวไหล่ หน้าอก ผิวบริเวณใบหน้ายิ่งเป็นแผลเป็นได้ง่าย แผลผ่าตัด ตา2ชั้น ก็เป็นรอยนูนได้ คนไข้ที่มีแผลคีลอยด์บริเวณชั้นตาเมื่อมีการเคลื่อนไหวของตาและเปลือกตาเช่น การกะพริบตา การขยี้ตา ก็จะเกิดอาการเจ็บขึ้นมา ซึ่งบ่งบอกว่ามีรอยแผลนูนเกิดขึ้นที่หัวตาจึงทำให้รู้สึกตึงมาก อาการนี้จะเกิดได้ในช่วงเดือนแรกหลังจากผ่าตัดทำตาเสร็จ บางคนมีอาการคันบ่อยๆจนต้องไปเกาในบริเวณที่แผลนูนออกมา แผลนี้ก็จะเป็นรอยแผลที่ส่งผลต่อความงามและความมั่นใจได้ และถึงแม้ว่าแผลคีรอยด์จะส่งผลเสียต่อบุคลิกภาพและความงาม แต่คีลอยด์ก็ไม่ได้มีอันตรายร้ายแรงถึงชีวิต
สาเหตุของการเกิดคีลอยด์
การเกิดคีลอยด์เกิดขึ้นจากกระบวนการผลิตคอลลาเจนที่ร่างกายสร้างขึ้นในปริมาณที่มากเกินไป ทำให้เกิดการนูนของรอยแผล ซึ่งอาจมีสาเหตุมาจากปัจจัยทางพันธุกรรม หรืออาจเกี่ยวข้องกับฮอร์โมน เช่น ฮอร์โมนที่เพิ่มขึ้นในระหว่างการตั้งครรภ์ สามารถส่งผลให้เกิดการผลิตคอลลาเจนในร่างกายปริมาณมาก นอกจากนี้ สภาพผิวหนังที่แตกต่างกัน เช่น คนผิวสีเข้ม มักมีการผลิตคอลลาเจนมากกว่าคนผิวขาว จึงมีโอกาสเกิดรอยแผลเป็นนูนได้มากกว่า
วิธีการป้องกันการเกิดคีลอยด์จากแผลผ่าตัด
การไม่สัมผัสแผลบ่อยครั้ง เป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากการเกาที่แผลอาจทำให้แผลมีโอกาสสูงในการเกิดคีลอยด์มากขึ้น นอกจากนี้ สภาพแวดล้อมที่อบอุ่นและมีความชุ่มชื้น จะช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น จึงควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์หลังการผ่าตัด และเริ่มใช้ยาทาลดรอยแผลเป็นเมื่อแผลแห้งประมาณ 1 สัปดาห์ ฉะนั้น ก่อนเข้าห้องผ่าตัด ควรเตรียมความพร้อม และ วิธีดูแลรักษาหลังทำตา 2 ชั้น เอาไว้ก่อน เพื่อไม่ให้เกิดแผลคีลอยด์ที่ไม่พึงประสงค์ตามมาด้วย
การนวดแผลเบา ๆ ก็เป็นวิธีการที่ช่วยป้องกันรอยนูนไม่ให้ขยายใหญ่ขึ้น โดยเฉพาะบริเวณหัวตา การนวดควรทำด้วยความระมัดระวัง และทำตามวิธีการดูแลที่ถูกต้อง
แนวทางการรักษาคีลอยด์
หากพบว่ามีรอยนูนที่ยังไม่ดีขึ้น แม้จะมีการทายาและนวด อาจควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาวิธีการรักษาที่เหมาะสมมากขึ้น ได้แก่:
1. การฉีดยาสเตียรอยด์ เช่น Triamcinolone acetonide ที่ช่วยลดอาการอักเสบและขนาดของรอยแผลเป็น แพทย์จะเลือกใช้แบบ 10 มก. หรือ 40 มก. แล้วแต่ความแข็งของรอยนูน และแพทย์จะดูการตอบสนองต่อยาด้วยว่าเป็นอย่างไร ช่วงเวลาที่เหมาะในการฉีดแผลไม่ควรเกิน 1 ปีแรกหลังจากที่ผ่าตัด
2. การเลเซอร์เพื่อปรับสภาพผิวให้เรียบขึ้น (ควรหลีกเลี่ยงบริเวณใกล้ตา) เพราะเป็นบริเวณที่ผิวมีความบอบบางความส่วนอื่นๆในร่างกาย
3. การผ่าตัดเพื่อนำเนื้อที่นูนออก ซึ่งอาจเสี่ยงต่อการเกิดซ้ำ ข้อเสียของวิธีนี้คือ เป็นการผ่าตัดซ้ำ สำหรับผู้ที่มี รอยแผลเป็น เพราะกรรมพันธุ์ย่อมมีโอกาสที่จะเป็นรอยนูนขึ้นมาได้อีก คนที่เป็นแผลนูนง่าย มีโอกาสเป็นซ้ำได้อีก
การดูแลแผลหลังการผ่าตัดอย่างต่อเนื่องเป็นสิ่งสำคัญ โดยควรปฏิบัติตามวิธีการรักษาที่ถูกต้อง จนกว่าแผลจะหายดี เพื่อช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดคีลอยด์ในอนาคต
บริษัท โรงพยาบาลตากรุงเทพ จำกัด
อาคารเดอะ เมอร์คิวรี่ วิลล์ แอท ชิดลม 540 ชั้น7 ห้อง703
ถนนเพลินจิต แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร 1033002-869-8899
Copyright © 2024 All Rights Reserved.