PRK กับ LASIK ต่างกันอย่างไร แล้วแบบไหนปลอดภัยกว่ากัน
PRK กับ LASIK คือการรักษาสายตาสั้น สายตายาว สายตาเอียงที่ได้ผลดีเช่นกัน แต่ PRK เหมาะกับผู้ที่มีกระจกตาบาง หรืออาชีพที่ไม่สามารถทำเลสิก (Lasik) แบบทั่วไปได้ เช่น นักบิน
ผู้ที่มีปัญหาทางสายตา ไม่ว่าจะเป็นอาการสายตาสั้น สายตายาว สายตาเอียง มักประสบความยากลำบากในการใช้ชีวิต จนต้องสวมแว่นตาหรือสวมคอนแทคเลนส์ (Contact Lens) เพื่อแก้ปัญหา แต่สำหรับบางคนการสวมแว่นหรือคอนแทคเลนส์อาจส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิต
การแก้ปัญหาความผิดปกติทางสายตาที่ได้ผลดีกว่าการสวมแว่นนั่นคือการทำเลสิก แต่การทำเลสิก ข้อเสียคือการต้องผ่าตัดด้วยใบมีด ทำให้เกิดความกังวล แต่ก็มีเทคโนโลยีใหม่ที่ไม่ต้องใช้ใบมีด นั่นคือ PRK (Photorefractive Keratectomy) ซึ่งจะใช้แสงเลเซอร์ในการรักษาแทนการผ่าตัดด้วยใบมีดมาเป็นทางเลือก ในบทความนี้จะมาให้ข้อมูลว่า PRK กับ LASIK ต่างกันอย่างไร แบบไหนที่ปลอดภัยมากกว่ากัน
ทำความรู้จักกับ PRK และ LASIK
- PRK (Photorefractive Keratectomy) เป็นวิธีการรักษาความผิดปกติทางสายตาด้วยเลเซอร์อีกวิธีหนึ่ง ซึ่งจะใช้วิธีลอกผิวกระจกตาชั้นนอกสุดออก จากนั้นจะใช้เอ็กไซเมอร์เลเซอร์ (Excimer Laser) ปรับแต่งความโค้งของผิวกระจกตา ตามค่าสายตาที่จักษุแพทย์ได้ตรวจประเมินเอาไว้แล้ว เมื่อใช้เลเซอร์ปรับค่าความโค้งของกระจกตาเรียบร้อยแล้ว แพทย์ก็จะนำคอนแทคเลนส์ชนิดพิเศษมาสวมปิดแผลเอาไว้ประมาน 3-5 วัน เมื่อแผลหายดีแล้วก็จะนำคอนแทนเลนส์ออก ในช่วงแรกๆ อาจมีอาการมองไม่ชัด แต่หลังจากนั้นสายตาจะค่อยๆ มองชัดขึ้นตามลำดับ
- เลสิก LASIK (Laser-Assisted In Situ Keratomileusis: LASIK) การทำเลสิก (Lasik) เป็นการรักษาอาการ สายตาสั้น สายตายาว และสายตาเอียงด้วยการผ่าตัด โดยแพทย์จะใช้ใบมีดจากเครื่องmicrokeratome แยกชั้นกระจกตาก่อนในขั้นตอนแรก จากนั้นจะใช้เครื่อง เอ็กไซเมอร์เลเซอร์ (Excimer Laser) เพื่อปรับค่าความโค้งของกระจกตา เมื่อปรับค่าความโค้งได้ตามการคำนวณแล้ว จะนำกระจกตาใส่กลับไปแล้วปิดแผล ผู้เข้ารับการรักษาจะมองเห็นได้ชัดหลังจากรักษาได้เร็วกว่าแบบการทำ PRK
ความแตกต่างระหว่าง PRK กับ LASIK
- LASIK นั้นจะใช้ใบมีดขนาดเล็กจากเครื่องมือที่เรียกว่า ไมโครเคราโทม (Microkeratome) เพื่อแยกชั้นกระจกตาออกเป็นแผ่นบาง ๆ แต่ไม่ได้แยกออกมาแบบสิ้นเชิง แต่ทำเพียงแต่ลอกและเปิดออก จากนั้นจะนำกระจกตามาปรับค่าความโค้งด้วยเอ็กไซเมอร์เลเซอร์ (Excimer Laser)
ซึ่งเป็นเลเซอร์พลังงานต่ำ ปรับค่าความโค้งของกระจกตาตามที่แพทย์กำหนด จากนั้นจะนำกระจกตามาใส่กลับคืนและทำการปิดแผลและรอให้กระจกตาสมานแผลด้วยตัวเอง
ส่วนPRK (Photorefractive Keratectomy) นั้น จะไม่มีการใช้ใบมีดแยกชั้นกระจกตา แต่จะใช้เลเซอร์ลอกเนื้อเยื่อบุผิวตาที่อยู่ชั้นนอกสุด และจากนั้นจะใช้เอ็กไซเมอร์เลเซอร์ (Excimer Laser) ปรับความโค้งของกระจกตาด้านในเพื่อให้ค่ากลับมาเป็นปกติ และจะใช้คอนแทคเลนส์แบบพิเศษมาปิดดวงตา 5-7 วัน เพื่อรอให้เนื้อเยื่อดวงตาสมานกัน
PRK กับ LASIK ช่วยแก้ไขปัญหาสายตาแบบใด
โดย PRK กับ LASIK เป็นการรักษาอาการผิดปกติทางสายตาได้ผลถาวรทั้งสองแบบ โดยสายตาที่สามารถเข้ารับการรักษาด้วยวิธี PRK กับเลสิก (Lasik) มีดังนี้
- อาการสายตาสั้น (Myopia) โดยผู้ที่มีสายตาสั้น จะมีอาการมองวัตถุที่อยู่ไกลไม่ชัดเจน มีความเบลอ เนื่องมาจากการที่กระจกตามีความโค้งมากเกินไป หรือกระบอกตายาวเกินไป ทำให้จุดโฟกัสของดวงตาตกกระทบก่อนถึงจอประสาทตา
- อาการสายตายาว (Hyperopia) ผู้ที่มีอาการสายตายาวนั้น จะมองภาพที่อยู่ใกล้ไม่ชัดเจน เกิดจากความโค้งของกระจกตาที่ไม่พอดี ทำให้จุดโฟกัสของดวงตาตกกระทบที่ด้านหลังของจอประสาทตา
- อาการสายตาเอียง (Astigmatism) ผู้ที่มีอาการสายตาเอียง จะมองภาพต่างๆ เป็นภาพซ้อน มีเงาดำ และมองสิ่งที่อยู่ไกลไม่ชัด เนื่องจากรูปร่างของกระจกตาที่มีความโค้งผิดปกติ ทำให้จุดโฟกัสของดวงตาเมื่อตกกระทบจอประสาทตาจะมี 2 จุด
โดยหลังจากการรักษาความผิดปกติทางสายตาด้วยวิธีทั้งสองแบบแล้ว ผู้เข้ารับการรักษาจะกลับมามองเห็นได้ชัดทันที และมองเห็นได้ชัดแบบถาวรเช่นเดียวกัน
การทำ LASIK และ PRK เหมาะกับใคร
คนที่เหมาะกับการทำ LASIK และ PRK
- ผู้ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป และต้องมีค่าสายตาที่คงที่อย่างน้อย 1 ปี
- ผู้ที่ไม่มีโรคทางตาอื่น เช่น ต้อหิน ต้อกระจก จอประสาทตาเสื่อม ความดันลูกตาสูง เป็นต้น
- ผู้ที่ไม่เป็นโรค SLE โรคสะเก็ดเงิน โรคภูมิคุ้มกันอื่นๆ
- ผู้ที่ไม่เป็นโรคเบาหวานที่ควบคุมระดับน้ำตาลได้ไม่ดี
คนที่เหมาะกับการทำ PRK
- ผู้ที่ประกอบอาชีพที่ไม่สามารถทำเลสิก (Lasik) ได้ เช่น นักบิน ตำรวจ ทหาร ที่มีข้อจำกัดในการห้ามทำเลสิกแบบปกติ
- ผู้ที่เคยรักษาอาการทางตาด้วยเลสิก (Lasik) มาแล้ว และไม่สามารถรักษาด้วยวิธีเดิมได้เนื่องจากอาจส่งผลต่อความแข็งแรงของกระจกตา
เปรียบเทียบข้อดี ข้อจำกัดของการทำ PRK กับ LASIK แบบไหนปลอดภัยกว่า
●การทำLasikนั้นมีข้อดีคือ สามารถรักษาอาการสายตาสั้น สายตายาวและสายตาเอียงที่ได้ผลดี โดยมีผลข้างเคียงน้อย ใช้เวลาในการผ่าตัดไม่นาน ใช้เวลาในการพักฟื้นไม่นาน ในกระบวนการผ่าตัดนั้น ใช้เพียงแค่การหยอดยาชา ไม่มีการเย็บแผล ทำให้เกิดการอักเสบน้อย เมื่อผ่าตัดเสร็จแล้วสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้เลย โดยจะสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนทันทีหลังผ่าตัด
แต่การ ทำเลสิก ข้อเสีย หรือข้อจำกัดคือค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง และอาจทำให้กระจกตาบางลงได้ ดังนั้นผู้ที่มีกระจกตาบางจะไม่สามารถรักษาด้วยวิธีนี้ได้ และอาจมีอาการตาแห้งเป็นเวลาหลายเดือนหลังเข้ารับการรักษา
●การทำPRK (Photorefractive Keratectomy)นั้นมีข้อดีคือ มีผลข้างเคียงน้อยกว่าการทำเลสิก โดยผู้ที่มีกระจกตาบาง ตาแห้ง ดวงตาเล็ก ก็สามารถเข้ารับการรักษาอาการสายตาผิดปกติได้ เนื่องจากการทำ PRK นั้นจะรบกวนกระจกตาน้อยกว่าการทำเลสิกมาก มีผลข้างเคียงจากอาการตาแห้งหลังการรักษาน้อยกว่าแบบการทำเลสิก และการทำ PRK นั้นเหมาะสำหรับอาชีพบางประเภทที่มีข้อจำกัดในการทำเลสิก เช่น นักบิน ทหาร ตำรวจ ที่ไม่สามารถรักษาความผิดปกติทางสายตาด้วยวิธีเลสิคได้
แต่การทำ prk ก็มีข้อจำกัด คือต้องใช้การพักฟื้นที่นานกว่าการทำเลสิก เนื่องจากต้องรอให้ดวงตามีการสร้างเยื่อบุผิวกระจกตาขึ้นมาใหม่ ผลข้างเคียงอาจมีอาการเจ็บตา แสบตามากกว่า และในขั้นตอนการทำจะใช้เวลานานกว่าการรักษาด้วยเลสิก (Lasik) และต้องไปพบแพทย์บ่อยครั้งเพื่อประเมินอาการ
ขั้นตอนการรักษาและดูแลตัวเองหลังรับการรักษาด้วย PRK
ในการรับการรักษาด้วยวิธีPRK (Photorefractive Keratectomy) นั้น แพทย์จะทำการตรวจสายตาอย่างละเอียด ด้วยการวัดค่าสายตาด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ ตรวจวัดค่าการมองเห็นของสายตา ตรวจวัดความดันในลูกตา ตรวจค่าความโค้งและความหนากระจกตา ทั้งหมดนี้เพื่อประเมินว่าผู้เข้ารับการรักษาสามารถรักษาด้วยPRK (Photorefractive Keratectomy) ได้หรือไม่
เมื่อแพทย์ตรวจประเมินแล้ว จะมีขั้นตอนในการรักษา ดังนี้
ขั้นที่ 1 ใช้แอลกอฮอล์เจือจางหยดลงบนกระจกตา เพื่อให้เซลล์ชั้นนอกของกระจกตาหลุดออกได้ง่าย
ขั้นที่ 2 ใช้เครื่องมือลอกผิวกระจกตาด้านนอกสุดออกและปรับผิวกระจกตาให้เรียบ
ขั้นที่ 3 ใช้เอ็กไซเมอร์เลเซอร์ (Excimer Laser) ปรับค่ากระจกตาตามที่แพทย์คำนวณไว้
ขั้นที่ 4 ปิดแผลด้วยคอนแทคเลนส์พิเศษ และควรสวมไว้ 5-7 วันเพื่อให้เยื่อหุ้มกระจกตาซ่อมแซมตัวเองขึ้นมาใหม่ เมื่อแผลหายดีแล้วสามารถถอดคอนแทคเลนส์ออกได้
ในส่วนของการดูแลตัวเองหลังการรักษา มีดังนี้
- สวมคอนแทคเลนส์ชนิดพิเศษไว้ตามกำหนดที่แพทย์สั่ง ห้ามถอดเองโดยเด็ดขาด
- ระวังอย่าให้มีสิ่งแปลกปลอมเข้าตา ห้ามขยี้ตาโดยเด็ดขาด ห้ามไม่ให้น้ำเข้าตา
- ทำความสะอาดดวงตาทุกวัน โดยใช้สำลีชุบน้ำเกลือเช็ดที่หัวตาไปหางตา
- ใช้ยาหยอดตาตามคำสั่งแพทย์อย่างเคร่งครัด
- หากมีอาการระคายเคืองตา สามารถหยอดน้ำตาเทียมได้
ในการรักษาสายตาผิดปกติทั้ง LASIK และ PRK เป็นทางเลือกที่ได้ผลทั้งสองแบบ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพดวงตาของแต่ละคนว่าเหมาะกับการรักษาแบบใด โดย prk อาจจะมีความปลอดภัยมากกว่าเพราะคนที่มีภาวะกระจกตาบาง ตาเล็ก ตาแห้ง ก็สามารถทำได้ เพราะการรักษาด้วยการ ผลข้างเคียง มีน้อย ทั้งนี้ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนตัดสินใจ
บริษัท โรงพยาบาลตากรุงเทพ จำกัด
อาคารเดอะ เมอร์คิวรี่ วิลล์ แอท ชิดลม 540 ชั้น7 ห้อง703
ถนนเพลินจิต แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร 1033002-869-8899
Copyright © 2024 All Rights Reserved.